แพ้ท้อง มีอาการอย่างไร
อาการแพ้ท้อง คือกลุ่มอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการคนท้องระยะแรกที่เป็นสัญญาณเตือนให้คุณแม่รู้ว่ากำลังตั้งท้อง โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีอาการช่วงเริ่มต้นตั้งครรภ์ และอาการจะเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อเข้าช่วงสัปดาห์ที่ 12-14 ของการตั้งครรภ์ โดยประมาณ 50% ของผู้หญิงตั้งครรภ์จะมีอาการคลื่นไส้และอาเจียน อีก 25% มีเพียงอาการคลื่นไส้ และอีก 25% ไม่พบอาการผิดปกติอะไรเลย ความรุนแรงของอาการคลื่นไส้อาเจียนนั้นหลากหลายมากในแต่ละคน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่รุนแรงถึงขั้นต้องเข้าปรึกษาแพทย์อย่างไรก็ตาม ว่าที่คุณแม่ราว 1-2% ต้องพบกับอาการอย่างรุนแรง หรือที่เรียกทางการแพทย์ว่า Hyperemesis Gravidarum (HG) ซึ่งทำให้เกิดการอาเจียนบ่อยครั้ง และส่งผลให้ผู้ป่วยเสียปริมาณของเหลวและเกลือแร่ในร่างกายไปจำนวนมาก ซึ่งอาการเช่นนี้จำเป็นต้องรีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษาเฉพาะทาง
อาการแพ้ท้องสามารถพบได้หลายรูปแบบ ดังนี้
- คลื่นไส้ อาเจียน เป็นอาการที่พบได้บ่อยในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ คล้ายกับอาการเมารถ หรือเมาเรือ
- ไวต่อกลิ่นและรสชาติ ช่วงที่มีอาการอาจรู้สึกไม่ชอบกลิ่นหรือรสชาติของอาหารบางอย่าง อาหารที่เคยชอบก็อาจจะไม่ชอบแล้ว หรืออาจรู้สึกว่ามีรสโลหะอยู่ในปาก
- หิวบ่อย ช่วงตั้งครรภ์คุณแม่มักจะกินเยอะกว่าปกติ เพราะพลังงานจากอาหารที่กินเข้าไป จะต้องแบ่งไปหล่อเลี้ยงทั้งร่างกายของตนเองและทารกในครรภ์ด้วย
- ปัสสาวะบ่อย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย รวมถึงการไหลเวียนโลหิตที่ส่งไปยังไตมากขึ้น จึงกระตุ้นให้มีการปัสสาวะบ่อย
- กรดไหลย้อน แม่ตั้งครรภ์หลายท่านมีอาการกรดไหลย้อนขณะตั้งครรภ์ เกิดจากฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว ซึ่งกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารก็ได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้น จึงอาจมีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหารและระคายเคืองหลอดอาหาร หรือทำให้รู้สึกแสบที่ลิ้นปี่
สาเหตุของการแพ้ท้อง
ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีการค้นพบตัวแปรสำคัญที่มีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ท้องไว้มากมาย เช่น ปริมาณเอสโตรเจนที่สูงขึ้น ระดับฮอร์โมน โกนาโดโทรปิน ที่สูงขึ้น (hCG) การขาดสารอาหารบางชนิด (เช่นการขาดวิตามิน B6 จากการกินอาหาร) หรือปัญหาที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร
มีหลายการศึกษาที่พบว่า ฮอร์โมน hCG หรือ Human Chorionic Gonadotropin ก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนในหญิงตั้งครรภ์ระยะแรก โดยคุณแม่ที่มีระดับฮอร์โมน hCG สูงก็จะยิ่งมีอาการแพ้รุนแรงมากขึ้น
ฮอร์โมน hCG คือฮอร์โมนที่จะตรวจพบในเลือดและปัสสาวะเมื่อมีการตั้งครรภ์ โดยจะถูกสร้างขึ้นมาจากเซลล์ในไข่ที่ถูกผสมและจะกลายเป็นรกต่อไป หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นฮอร์โมนเกิดจากรกนั่นเอง มีหน้าที่กระตุ้นให้รังไข่สร้างฮอร์โมนอื่นๆ
ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนตัวสำคัญที่จะต้องสร้างก็คือ “เอสโตรเจน” กับ “โพรเจสเตอโรน” ช่วงแรกที่ไข่เริ่มมีการผสม รกยังไม่เจริญเต็มที่ จึงต้องมีฮอร์โมน hCG เพื่อไปกระตุ้นให้รังไข่สร้างฮอร์โมนตัวอื่นๆ แต่เมื่อรกเริ่มเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว รกก็จะทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนตัวอื่นแทนรังไข่ ฮอร์โมน hCG ที่ถูกสร้างมาเพื่อกระตุ้นรังไข่ก็จะลดน้อยลงไป เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น รกเจริญเต็มที่แล้ว ถ้าทำการตรวจปัสสาวะเพื่อทดสอบการตั้งครรภ์ก็อาจให้ผลลบได้ เนื่องจากฮอร์โมน hCG มีระดับต่ำลงนั่นเอง และอาการแพ้ท้องก็จะค่อยๆ ลดลง
ฮอร์โมน hCG มีผลทำให้คุณแม่เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ หากคุณแม่ที่มีอาการแพ้มากๆ เพราะมีฮอร์โมน hCG สูง ก็อาจต้องตรวจเพิ่มเติมว่ามีภาวะผิดปกติ เช่น ตั้งครรภ์แฝด หรือรกเจริญผิดปกติหรือไม่
อาการเริ่มแรกและวิธีแก้อาการแพ้ท้อง
มักจะเริ่มขึ้นเมื่อตั้งครรภ์ได้ประมาณสัปดาห์ที่ 6 หรือเรียกง่ายๆ ว่า ท้องได้ 2 เดือนแล้วจึงเริ่มมีอาการแพ้ท้องเกิดขึ้น ซึ่งระยะเวลานี้มักเป็นช่วงที่ผู้หญิงจะเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายที่กำลังบ่งบอกได้ว่าอาจมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น อาการแพ้จะเริ่มในสัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์ และจะรุนแรงขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 8-12 ก่อนจะค่อยๆ ทุเลาลงหรือหายไปเองในช่วงสัปดาห์ที่ 14 อย่างไรก็ตาม แม่ท้องหลายคนก็อาจจะมีอาการยาวไปจนกระทั่งใกล้คลอดเลยก็ได้เช่นกัน
วิธีแก้อาการแพ้ท้อง
- เมื่อรู้ตัวว่ามีอาการควรดื่มน้ำมากๆ แต่อย่าดื่มร่วมกับอาหารหรือหลังอาหารทันทีให้ดื่มน้ำก่อนหรือหลังอาหารสัก 30 นาที และระหว่างวันให้จิบน้ำบ่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการขาดน้ำฝานขิงอ่อนเป็นแผ่นบางๆ แช่ในน้ำร้อน แล้วค่อยๆ จิบ จะช่วยให้อาการคลื่นไส้ อาเจียน ดีขึ้น
- ควรหลีกหนีให้ไกลจากกลิ่นที่ทำให้ท้องของคุณแม่ปั่นป่วน หากจำเป็นต้องปรุงอาหาร ให้เปิดหน้าต่างหรือเปิดพัดลมดูดกลิ่น และแม้จะไม่รู้สึกหิว คุณแม่ก็ควรพยายามบังคับตัวเองให้กิน เพราะการที่ท้องว่างจะทำให้อยากอาเจียนได้ง่ายกว่าเมื่อมีอาหารอยู่ในท้อง อย่างไรก็ตาม คุณแม่อาจกินอาหารในแต่ละมื้อได้ไม่มาก ให้แบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆ แต่กินหลายๆ มื้อแทน อาจจะแบ่งมื้ออาหารเป็น 5-6 มื้อต่อวันเลยก็ได้ จะช่วยให้ได้รับอาหารเพียงพอต่อความต้องการ
- การกินอาหารที่มีโปรตีนสูงบางชนิดไม่เหมาะเป็นอาหารคนท้อง อาจทำให้อาการแพ้หนักขึ้น เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู อาจลองกินเนื้อปลา ไข่ต้มสุกแทน ก็จะช่วยให้ดีขึ้นได้
- ควรหลีกเลี่ยงอาหารมันและรสเผ็ด หรืออาหารรสจัด มีเครื่องเทศมาก เนื่องจากทำให้เกิดอาการจุกเสียดแน่นหน้าอกได้ง่าย หมั่นดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้ท้องว่างนานเกินไป
- หากรู้สึกหิวควรหาอาหารหรือของว่างกิน คุณแม่จึงควรมีขนมของขบเคี้ยวที่มีโปรตีนสูงไว้ใกล้มือ เพื่อหยิบกินได้ง่าย เช่น ขนมจำพวกถั่ว,เครื่องดื่ม หรือขนมที่ทำจากถั่วเหลือง เพราะดีต่อผู้หญิงที่มีอาการแพ้ท้อง
- อาการแพ้จะทุเลาได้ หากคุณแม่กินขนมปังจืดหรือขนมปังกรอบธัญพืชสัก 1-2 ชิ้นก่อนเข้านอนตอนกลางคืน เพื่อไม่ให้ท้องว่างนานเกินไป หรือกินอาหารเบาๆ เช่น แครกเกอร์หรือเครื่องดื่มอุ่นๆ ก่อนนอน จะทำให้หลับสบาย
- ควรเตรียมเครื่องดื่มหรือแครกเกอร์ไว้ใกล้ๆ เตียง เพื่อตอนเช้าตื่นขึ้นมา จะได้ดื่มเครื่องดื่มที่เตรียมไว้หรือกินแครกเกอร์เมื่อตื่นนอนขึ้นทันทีก่อนลุกจากเตียงไปทำกิจวัตรประจำวัน เพราะจะช่วยไม่ให้วิงเวียนจากอาการท้องว่าง และลดการเกิดอาการได้