Health

  • แพ้ท้อง มีอาการและวิธีรักษาอย่างไร
    แพ้ท้อง มีอาการและวิธีรักษาอย่างไร

    แพ้ท้อง 3 ใน 4 ของคุณแม่ตั้งครรภ์ มักมีอาการคลื่นไส้ในช่วงไตรมาสแรก หรือเริ่มต้นช่วงอายุครรภ์ราวๆ 6 สัปดาห์ ในขณะที่คุณแม่บางคนเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุครรภ์เพียง 4 สัปดาห์ และอาการนี้จะเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นในเดือนต่อๆ ไป ก่อนจะค่อยๆ ทุเลาลงในช่วงอายุครรภ์ 14 สัปดาห์ แม้ว่าจะไม่ใช่อาการที่ร้ายแรง แต่การแพ้ท้องก็สร้างความรู้สึกไม่สบายให้กับคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ไม่น้อย

    แพ้ท้อง มีอาการอย่างไร

    อาการแพ้ท้อง คือกลุ่มอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการคนท้องระยะแรกที่เป็นสัญญาณเตือนให้คุณแม่รู้ว่ากำลังตั้งท้อง โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีอาการช่วงเริ่มต้นตั้งครรภ์ และอาการจะเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อเข้าช่วงสัปดาห์ที่ 12-14 ของการตั้งครรภ์ โดยประมาณ 50% ของผู้หญิงตั้งครรภ์จะมีอาการคลื่นไส้และอาเจียน อีก 25% มีเพียงอาการคลื่นไส้ และอีก 25% ไม่พบอาการผิดปกติอะไรเลย ความรุนแรงของอาการคลื่นไส้อาเจียนนั้นหลากหลายมากในแต่ละคน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่รุนแรงถึงขั้นต้องเข้าปรึกษาแพทย์อย่างไรก็ตาม ว่าที่คุณแม่ราว 1-2% ต้องพบกับอาการอย่างรุนแรง หรือที่เรียกทางการแพทย์ว่า Hyperemesis Gravidarum (HG) ซึ่งทำให้เกิดการอาเจียนบ่อยครั้ง และส่งผลให้ผู้ป่วยเสียปริมาณของเหลวและเกลือแร่ในร่างกายไปจำนวนมาก ซึ่งอาการเช่นนี้จำเป็นต้องรีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษาเฉพาะทาง

    อาการแพ้ท้องสามารถพบได้หลายรูปแบบ ดังนี้

    • คลื่นไส้ อาเจียน เป็นอาการที่พบได้บ่อยในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ คล้ายกับอาการเมารถ หรือเมาเรือ
    • ไวต่อกลิ่นและรสชาติ ช่วงที่มีอาการอาจรู้สึกไม่ชอบกลิ่นหรือรสชาติของอาหารบางอย่าง อาหารที่เคยชอบก็อาจจะไม่ชอบแล้ว หรืออาจรู้สึกว่ามีรสโลหะอยู่ในปาก
    • หิวบ่อย ช่วงตั้งครรภ์คุณแม่มักจะกินเยอะกว่าปกติ เพราะพลังงานจากอาหารที่กินเข้าไป จะต้องแบ่งไปหล่อเลี้ยงทั้งร่างกายของตนเองและทารกในครรภ์ด้วย
    • ปัสสาวะบ่อย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย รวมถึงการไหลเวียนโลหิตที่ส่งไปยังไตมากขึ้น จึงกระตุ้นให้มีการปัสสาวะบ่อย
    • กรดไหลย้อน แม่ตั้งครรภ์หลายท่านมีอาการกรดไหลย้อนขณะตั้งครรภ์ เกิดจากฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว ซึ่งกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารก็ได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้น จึงอาจมีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหารและระคายเคืองหลอดอาหาร หรือทำให้รู้สึกแสบที่ลิ้นปี่

    สาเหตุของการแพ้ท้อง

    ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีการค้นพบตัวแปรสำคัญที่มีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ท้องไว้มากมาย เช่น ปริมาณเอสโตรเจนที่สูงขึ้น ระดับฮอร์โมน โกนาโดโทรปิน ที่สูงขึ้น (hCG) การขาดสารอาหารบางชนิด (เช่นการขาดวิตามิน B6 จากการกินอาหาร) หรือปัญหาที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร

    มีหลายการศึกษาที่พบว่า ฮอร์โมน hCG หรือ Human Chorionic Gonadotropin ก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนในหญิงตั้งครรภ์ระยะแรก โดยคุณแม่ที่มีระดับฮอร์โมน hCG สูงก็จะยิ่งมีอาการแพ้รุนแรงมากขึ้น

    ฮอร์โมน hCG คือฮอร์โมนที่จะตรวจพบในเลือดและปัสสาวะเมื่อมีการตั้งครรภ์ โดยจะถูกสร้างขึ้นมาจากเซลล์ในไข่ที่ถูกผสมและจะกลายเป็นรกต่อไป หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นฮอร์โมนเกิดจากรกนั่นเอง มีหน้าที่กระตุ้นให้รังไข่สร้างฮอร์โมนอื่นๆ

    ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนตัวสำคัญที่จะต้องสร้างก็คือ “เอสโตรเจน” กับ “โพรเจสเตอโรน” ช่วงแรกที่ไข่เริ่มมีการผสม รกยังไม่เจริญเต็มที่ จึงต้องมีฮอร์โมน hCG เพื่อไปกระตุ้นให้รังไข่สร้างฮอร์โมนตัวอื่นๆ แต่เมื่อรกเริ่มเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว รกก็จะทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนตัวอื่นแทนรังไข่ ฮอร์โมน hCG ที่ถูกสร้างมาเพื่อกระตุ้นรังไข่ก็จะลดน้อยลงไป เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น รกเจริญเต็มที่แล้ว ถ้าทำการตรวจปัสสาวะเพื่อทดสอบการตั้งครรภ์ก็อาจให้ผลลบได้ เนื่องจากฮอร์โมน hCG มีระดับต่ำลงนั่นเอง และอาการแพ้ท้องก็จะค่อยๆ ลดลง

    ฮอร์โมน hCG มีผลทำให้คุณแม่เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ หากคุณแม่ที่มีอาการแพ้มากๆ เพราะมีฮอร์โมน hCG สูง ก็อาจต้องตรวจเพิ่มเติมว่ามีภาวะผิดปกติ เช่น ตั้งครรภ์แฝด หรือรกเจริญผิดปกติหรือไม่

    อาการเริ่มแรกและวิธีแก้อาการแพ้ท้อง

    มักจะเริ่มขึ้นเมื่อตั้งครรภ์ได้ประมาณสัปดาห์ที่ 6 หรือเรียกง่ายๆ ว่า ท้องได้ 2 เดือนแล้วจึงเริ่มมีอาการแพ้ท้องเกิดขึ้น ซึ่งระยะเวลานี้มักเป็นช่วงที่ผู้หญิงจะเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายที่กำลังบ่งบอกได้ว่าอาจมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น อาการแพ้จะเริ่มในสัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์ และจะรุนแรงขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 8-12 ก่อนจะค่อยๆ ทุเลาลงหรือหายไปเองในช่วงสัปดาห์ที่ 14 อย่างไรก็ตาม แม่ท้องหลายคนก็อาจจะมีอาการยาวไปจนกระทั่งใกล้คลอดเลยก็ได้เช่นกัน

    วิธีแก้อาการแพ้ท้อง

    • เมื่อรู้ตัวว่ามีอาการควรดื่มน้ำมากๆ แต่อย่าดื่มร่วมกับอาหารหรือหลังอาหารทันทีให้ดื่มน้ำก่อนหรือหลังอาหารสัก 30 นาที และระหว่างวันให้จิบน้ำบ่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการขาดน้ำฝานขิงอ่อนเป็นแผ่นบางๆ แช่ในน้ำร้อน แล้วค่อยๆ จิบ จะช่วยให้อาการคลื่นไส้ อาเจียน ดีขึ้น
    • ควรหลีกหนีให้ไกลจากกลิ่นที่ทำให้ท้องของคุณแม่ปั่นป่วน หากจำเป็นต้องปรุงอาหาร ให้เปิดหน้าต่างหรือเปิดพัดลมดูดกลิ่น และแม้จะไม่รู้สึกหิว คุณแม่ก็ควรพยายามบังคับตัวเองให้กิน เพราะการที่ท้องว่างจะทำให้อยากอาเจียนได้ง่ายกว่าเมื่อมีอาหารอยู่ในท้อง อย่างไรก็ตาม คุณแม่อาจกินอาหารในแต่ละมื้อได้ไม่มาก ให้แบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆ แต่กินหลายๆ มื้อแทน อาจจะแบ่งมื้ออาหารเป็น 5-6 มื้อต่อวันเลยก็ได้ จะช่วยให้ได้รับอาหารเพียงพอต่อความต้องการ
    • การกินอาหารที่มีโปรตีนสูงบางชนิดไม่เหมาะเป็นอาหารคนท้อง อาจทำให้อาการแพ้หนักขึ้น เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู อาจลองกินเนื้อปลา ไข่ต้มสุกแทน ก็จะช่วยให้ดีขึ้นได้
    • ควรหลีกเลี่ยงอาหารมันและรสเผ็ด หรืออาหารรสจัด มีเครื่องเทศมาก เนื่องจากทำให้เกิดอาการจุกเสียดแน่นหน้าอกได้ง่าย หมั่นดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้ท้องว่างนานเกินไป
    • หากรู้สึกหิวควรหาอาหารหรือของว่างกิน คุณแม่จึงควรมีขนมของขบเคี้ยวที่มีโปรตีนสูงไว้ใกล้มือ เพื่อหยิบกินได้ง่าย เช่น ขนมจำพวกถั่ว,เครื่องดื่ม หรือขนมที่ทำจากถั่วเหลือง เพราะดีต่อผู้หญิงที่มีอาการแพ้ท้อง
    • อาการแพ้จะทุเลาได้ หากคุณแม่กินขนมปังจืดหรือขนมปังกรอบธัญพืชสัก 1-2 ชิ้นก่อนเข้านอนตอนกลางคืน เพื่อไม่ให้ท้องว่างนานเกินไป หรือกินอาหารเบาๆ เช่น แครกเกอร์หรือเครื่องดื่มอุ่นๆ ก่อนนอน จะทำให้หลับสบาย
    • ควรเตรียมเครื่องดื่มหรือแครกเกอร์ไว้ใกล้ๆ เตียง เพื่อตอนเช้าตื่นขึ้นมา จะได้ดื่มเครื่องดื่มที่เตรียมไว้หรือกินแครกเกอร์เมื่อตื่นนอนขึ้นทันทีก่อนลุกจากเตียงไปทำกิจวัตรประจำวัน เพราะจะช่วยไม่ให้วิงเวียนจากอาการท้องว่าง และลดการเกิดอาการได้

    แพ้ท้อง

    อาการแพ้ท้องแบบไหนที่ต้องไปพบแพทย์

    อาการแพ้ท้องหนักมาก มักจะเกิดขึ้นเพราะร่างกายมีระดับของฮอร์โมนสูงขึ้นกว่าปกติ เช่น ฮอร์โมน hCG ซึ่งเป็นฮอร์โมนการตั้งครรภ์ และฮอร์โมนเอสโตรเจน การเปลี่ยนแปลงระดับของฮอร์โมนเหล่านี้จึงมักส่งผลให้รู้สึกคลื่นไส้และอาเจียนมากผิดปกติ อย่างไรก็ตามมักไม่อันตรายรุนแรงถึงชีวิต เว้นเสียแต่ว่าจะมีอาการดังต่อไปนี้

    • คลื่นไส้หนักทั้งวันจนไม่สามารถกินอาหารหรือดื่มน้ำได้
    • อาเจียนวันละ 3-4 ครั้ง จนไม่สามารถกินอาหารหรือดื่มน้ำได้
    • อาเจียนออกมาเป็นสีน้ำตาล หรือมีเลือดปน
    • น้ำหนักลดลง หรือน้ำหนักลดลงจนผิดปกติ
    • ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ
    • มีภาวะขาดน้ำ
    • หัวใจเต้นเร็ว
    • อ่อนเพลียมาก
    • มีอาการเพ้อ หรือสับสน
    • มีกลิ่นปากหรือกลิ่นตัวที่ไม่พึงประสงค์

    หากมีอาการดังที่กล่าวมา ควรไปพบแพทย์ทันที

    ไขข้อข้องใจเรื่องอาการแพ้ท้อง

    1. พะอืดพะอม แก้ยังไง

    หากมีอาการพะอืดพะอมจนอยากจะอาเจียน ให้เริ่มปรับจากอาหารการกิน ดังนี้

    • กินของว่างจำพวก แครกเกอร์ ธัญพืช หรือผลไม้ โดยกินทันทีก่อนที่จะลุกออกจากเตียง เพื่อไม่ให้มีการเคลื่อนไหวในขณะที่ท้องว่าง
    • แบ่งมื้ออาหารออกเป็น 5-6 มื้อ หรือกินหลายๆ มื้อ เพื่อป้องกันไม่ให้ท้องว่าง
    • จิบชา น้ำผลไม้ หรือน้ำเปล่าบ่อยๆ เพื่อป้องกันอาการขาดน้ำ

    2. อยากกินของเปรี้ยว เกิดจากอะไร

    อาการแพ้ท้องนั้นมักส่งผลให้จะกินหรือดื่มอะไรก็ลำบาก บางครั้งแค่ดื่มน้ำเปล่าก็ทำให้รู้สึกอยากจะอาเจียนขึ้นมาได้ ทั้งยังไวต่อรสชาติและกลิ่นกว่าปกติ ทำให้ต้องหาอะไรมากินแก้แพ้ ซึ่งอาหารที่มีรสเปรี้ยวก็มักจะตอบโจทย์ในข้อนี้ เพราะอาหารหรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวซึ่งมีความเป็นกรดจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำลาย ช่วยปรับรสชาติภายในปาก ทำให้เจริญอาหารมากขึ้นได้

    3. มวนท้อง ท้องอืดขณะตั้งครรภ์ อันตรายหรือไม่

    อาการมวนท้อง ท้องอืดนั้นสามารถพบได้โดยทั่วไปทั้งก่อน ระหว่าง หรือหลังตั้งครรภ์ แต่ช่วงที่ตั้งครรภ์นั้นจะพบกับอาการนี้บ่อยเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย โดยเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เมื่อเพิ่มระดับมากขึ้นก็จะไปกระตุ้นให้เกิดการคลายกล้ามเนื้อในร่างกายมากขึ้น ซึ่งรวมถึงกล้ามเนื้อในลำไส้ด้วย และเมื่อกล้ามเนื้อในลำไส้คลายตัวก็จะทำให้กระบวนการย่อยอาหารทำได้ช้าลง ส่งผลให้เกิดแก๊สมากขึ้นในลำไส้ ทำให้รู้สึกท้องอืดขึ้นมาบ่อยๆ นั่นเอง

    แต่โดยมากแล้วอาการท้องอืดขณะตั้งครรภ์นั้นไม่ถือว่าเป็นอันตราย

    4. แพ้ท้องตอนเย็น ปกติไหม

    อาการแพ้ท้องไม่ได้จำกัดเวลาที่เกิดขึ้น ผู้หญิงตั้งครรภ์สามารถแพ้ได้ทั้งวัน หรืออาจจะแค่ช่วงเช้า หรือแค่ช่วงเย็นก็สามารถเป็นไปได้ทั้งนั้น โดยไม่ถือว่ามีความผิดปกติแต่อย่างใดด

    5. กินข้าวไม่ได้ กินอะไรไม่ได้เลย จะเป็นอันตรายต่อลูกในท้องไหม

    ขณะตั้งท้องคุณแม่จำเป็นที่จะต้องกินอาหารให้หลากหลายและมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อให้ตัวเองแข็งแรง และลูกน้อยได้รับสารอาหารที่ช่วยในการเจริญเติบโต

    อย่างไรก็ตาม อาการแพ้ท้องมักทำให้กินอะไรไม่ค่อยได้ กินเข้าไปนิดๆ หน่อยๆ ก็อาเจียนออกมา ซึ่งอาการเหล่านี้มักพบได้มากในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ และจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 2 ซึ่งโดยมากแล้วอาการแพ้จนกินอะไรไม่ค่อยได้นั้นไม่ถือว่าอันตรายอะไร แต่คุณแม่จำเป็นจะต้องปรับพฤติกรรมการกิน และพยายามกินอาหารให้ได้มากที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร หรือเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ

    6. กินยาแก้แพ้ช่วยได้ไหม

    โดยมากแล้วอาการแพ้ท้องไม่จำเป็นต้องกินยา เพียงแค่ปรับพฤติกรรมการกินและพฤติกรรมการใช้ชีวิต ก็สามารถช่วยให้อาการดีขึ้นได้ แต่ในกรณีที่พยายามปรับรูปแบบการใช้ชีวิตแล้วแต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น แพทย์ก็อาจสั่งจ่ายยาบางชนิดที่อาจช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ได้แก่ วิตามินบี 6 และยาดอกซีลามีน (Doxylamine) ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อแม่และทารกในครรภ?

    อย่างไรก็ตาม ควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้สั่งจ่ายยา และไม่ควรซื้อยามากินเอง

    7. ง่วงนอนทั้งวัน กินกาแฟได้ไหม

    คนท้องสามารถดื่มกาแฟได้ แต่…ควรดื่มในปริมาณน้อย คือไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะหากดื่มมากเกินไป คาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟอาจจะส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ หรือทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน หนักกว่าเดิม

    8. เหม็นสามี เกิดจากอะไร

    ขณะตั้งครรภ์ร่างกายของคุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนต่างๆ ซึ่งการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของฮอร์โมนในร่างกายนี้จะส่งผลให้คนท้องรู้สึกไวต่อรสชาติและกลิ่นต่างๆ กลิ่นที่เคยชอบหรือรู้สึกเฉยๆ ก็อาจกลายเป็นรู้สึกเหม็นจนเกินจะทนไหว ซึ่งนั่นก็อาจจะรวมถึงกลิ่นตัวของสามีด้วย ซึ่งกลิ่นสามีนี้อาจหมายถึงกลิ่นตัว หรือกลิ่นโรลออน หรือกลิ่นน้ำหอมของสามีก็ได้

     

    แม่ท้องบางคนมีอาการแพ้ท้องแค่เพียงเล็กน้อย ขณะที่แม่ท้องอีกหลายคนไม่มีอาการเลย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ และไม่ได้แสดงถึงความผิดปกติใดในการตั้งครรภ์ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าระดับฮอร์โมนในร่างกายนั้นอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่น้อยหรือมากเกินไปจนก่อให้เกิดอาการแพ้ท้องรุนแรง

     

    เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆ ที่น่าสนใจ

     

    ที่มาของบทความ

     

    ติดตามเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่  lacapilladelabolsa.com

    สนับสนุนโดย  ufabet369

Economy

  • อัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรคืออะไรและทำไมจึงสูง
    อัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรคืออะไรและทำไมจึงสูง

    อัตราที่ราคาเพิ่มขึ้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ 8.7% ในเดือนพฤษภาคม แม้จะมีการคาดการณ์ว่าราคาจะลดลงก็ตาม

    อัตราเงินเฟ้อของอาหาร

    เช่น ขนมปัง ซีเรียล และช็อกโกแลต ลดลงเล็กน้อย แต่ยังคงสูงที่ 18.3%

    เพื่อช่วยให้ราคาเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษได้เพิ่มอัตราดอกเบี้ย 12 ครั้งเป็น 4.5%

    เงินเฟ้อหมายถึงอะไร?
    เงินเฟ้อคือการเพิ่มขึ้นของราคาของบางอย่างเมื่อเวลาผ่านไป

    หากขวดนมมีราคา 1 ปอนด์ แต่ 1.05 ปอนด์ในปีต่อมา อัตราเงินเฟ้อของนมต่อปีจะอยู่ที่ 5%

    อัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรวัดได้อย่างไร?

    สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ONS) ติดตามราคาของสินค้าในชีวิตประจำวันหลายร้อยรายการใน “ตะกร้าสินค้า” ในจินตนาการ

    ตะกร้าได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อสะท้อนเทรนด์การช้อปปิ้ง โดยการเปลี่ยนแปลงล่าสุดจะเพิ่มผลเบอร์รี่แช่แข็งและนำ Alcopops ออก

    ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในแต่ละเดือนแสดงให้เห็นว่าราคาเหล่านี้เพิ่มขึ้นเท่าใดนับจากวันเดียวกันของปีที่แล้ว

    คุณสามารถคำนวณอัตราเงินเฟ้อได้หลายวิธี แต่การวัด “พาดหัว” หลักคือดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

    ตัวเลขล่าสุดสำหรับ CPI อยู่ที่ 8.7% ในปีจนถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนเมษายน

    กราฟเส้นแสดงอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคม 2566 อยู่ที่ 8.7% ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า

    อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคืออะไร?

    อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานไม่รวมราคาพลังงาน อาหาร แอลกอฮอล์ และยาสูบ

    ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อโดยรวมอยู่ในช่วงขาลงโดยทั่วไปในปีนี้ อัตราเงินเฟ้อ CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้นเป็น 7.1% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 6.8% ในเดือนเมษายน และสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2535

    ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษพิจารณาตัวเลขนี้เช่นเดียวกับตัวเลขอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเมื่อตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยหรือไม่

    อัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรคืออะไรและทำไมจึงสูง

    ทำไมราคาจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว?

    ค่าอาหารและพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นได้ช่วยผลักดันอัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้น

    น้ำมันและก๊าซเป็นที่ต้องการมากขึ้นเมื่อชีวิตกลับสู่ปกติหลังโควิด ในขณะเดียวกัน สงครามในยูเครนทำให้สินค้าจากรัสเซียมีน้อยลง ทำให้กดดันราคามากขึ้น

    สงครามยังลดปริมาณธัญพืชที่มีอยู่ ทำให้ราคาอาหารทั่วโลกสูงขึ้น

    ผลกระทบนี้ทวีคูณขึ้นในสหราชอาณาจักรในเดือนกุมภาพันธ์ จากการขาดแคลนสลัดและผักชนิดอื่นๆ ซึ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อด้านอาหารพุ่งสูงสุดในรอบ 45 ปี

    ราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารและผับก็สูงขึ้นเช่นกัน

    การขึ้นอัตราดอกเบี้ยช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้อย่างไร?
    ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษมีเป้าหมายที่จะรักษาอัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 2% แต่อัตราปัจจุบันสูงกว่านั้นมาก

    การตอบสนองแบบดั้งเดิมต่ออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นคือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

    สิ่งนี้ทำให้การกู้ยืมมีราคาแพงขึ้น และอาจหมายถึงบางคนที่มีการจำนองเห็นว่าการชำระเงินรายเดือนของพวกเขาเพิ่มขึ้น อัตราการประหยัดบางอย่างก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

    เมื่อผู้คนมีเงินน้อยลง พวกเขาซื้อของต่างๆ น้อยลง ความต้องการสินค้าลดลงและราคาที่สูงขึ้นช้าลง

    นอกจากนี้ ธุรกิจต่างๆ ยังกู้เงินน้อยลง ทำให้พวกเขามีโอกาสสร้างงานได้น้อยลง และอาจลดพนักงานลง

    ในเดือนพฤษภาคม ธนาคารได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 12 ติดต่อกัน โดยขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลักเป็น 4.5%

    แผนภูมิแสดงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในสหราชอาณาจักร (พฤษภาคม 2023)
    แต่เมื่ออัตราเงินเฟ้อเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น ราคาพลังงานในตลาดโลก การดำเนินการของธนาคารแห่งประเทศอังกฤษอาจไม่เพียงพอต่อการชะลอตัวลง

    คาดขึ้นดอกเบี้ยหลังเงินเฟ้อช็อก

    1. การขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลต่อคุณอย่างไร
    2. ทำไมธนาคารแห่งประเทศอังกฤษจึงเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย?
    3. ค่าจ้างสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อหรือไม่?
    4. หลายคนจ่ายไม่ทันกับราคาที่เพิ่มสูงขึ้น

    เงินเดือนเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในสหราชอาณาจักร ไม่รวมโบนัส อยู่ที่ 603 ปอนด์ในเดือนเมษายน เพิ่มขึ้นจาก 598 ปอนด์ในเดือนมีนาคม ตามตัวเลขอย่างเป็นทางการ

    แต่เมื่อคุณคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อ ค่าจ้างปกติลดลง 1.3% ในช่วงสามเดือนจนถึงเดือนเมษายน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

    สหภาพแรงงานกล่าวว่าค่าจ้างควรสะท้อนถึงค่าครองชีพ และคนงานจำนวนมากได้รับผลกระทบมากกว่าค่าจ้าง

    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโต้แย้งว่าการขึ้นค่าจ้างจำนวนมากอาจผลักดันอัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้น เนื่องจากบริษัทต่างๆ อาจขึ้นราคาเป็นผลตามมา

    อัตราเงินเฟ้อจะลดลงเมื่อใด

    อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงไม่ได้หมายความว่าราคาจะลดลง มันหมายความว่าพวกเขาไม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    เมื่อธนาคารประกาศการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนพฤษภาคม ธนาคารกล่าวว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะ “ลดลงอย่างรวดเร็วจากเดือนเมษายน” ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อราคาอาหารมีแนวโน้มลดลงช้ากว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้

    คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงเหลือ 5% ภายในสิ้นปี 2566 แทนที่จะเป็น 4% ที่คาดการณ์ไว้

    สำนักงานความรับผิดชอบด้านงบประมาณ (กบร.) ซึ่งประเมินแผนเศรษฐกิจของรัฐบาล ก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงเหลือ 2.9% ภายในสิ้นปีนี้

    ในเดือนมกราคม นายกรัฐมนตรี Rishi Sunak กล่าวว่าการลดอัตราเงินเฟ้อลงครึ่งหนึ่งภายในสิ้นปี 2566 เป็นหนึ่งในคำมั่นสัญญาหลัก 5 ประการของรัฐบาล

    อัตราเงินเฟ้อในยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นเท่าใด
    ประเทศอื่นๆ ก็ประสบปัญหาค่าครองชีพตกต่ำเช่นกัน

    มีเหตุผลหลายประการที่เหมือนกัน – ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้น การขาดแคลนสินค้าและวัสดุ และผลกระทบจากโควิด

    อัตราเงินเฟ้อประจำปีของประเทศที่ใช้เงินยูโรอยู่ที่ประมาณ 6.1% ในเดือนพฤษภาคม ลดลงจาก 7% ในเดือนเมษายน

    ธนาคารกลางยุโรปยังได้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยายามลดอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซน อัตรามาตรฐานอยู่ที่ 3.5% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 22 ปี

    อัตราเงินเฟ้อยังลดลงในสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ 4% ในช่วง 12 เดือนจนถึงเดือนพฤษภาคม ลดลงจาก 4.9% ในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 11

    ธนาคารกลางสหรัฐได้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยหลักเป็น 5.25% เพิ่มขึ้นจากเกือบ 0% ในปีที่แล้ว และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2550

    อย่างไรก็ตาม อัตราดังกล่าวยังคงไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนมิถุนายน โดยระบุว่าต้องการเวลาประเมินผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้

    เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจในเว็บของเรา

    จู๊ด เบลลิงแฮม,แรชฟอร์ดนำสไตล์ฟุตบอลมาสู่ปารีสแฟชั่นวีค

    แมนฯ ซิตี้,เชลซีตกลง 30 ล้านปอนด์สำหรับมาเทโอ โควาซิช

    ลูกไม่เก็บของเล่น สอนอย่างไรดี

    ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับฮาโกเน่ ประเทศญี่ปุ่น

    คาร์ลอส อัลการาซ เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศทำผลงานได้อย่างโดดเด่น

    ขอบคุณรูปภาพจาก pexels.com

    แหล่งที่มา https://www.bbc.com/news/business

    สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ lacapilladelabolsa.com